Friday, 21 April 2017

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการความรู้ (Knowledge Management หรือ KM)

การจัดการความรู้ หมายถึง กระบวนการในการสร้างและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราทราบเข้าไปใช้ในการทำงาน  เพื่อทำให้องค์การมีการทำงานที่ดีขึ้นหรือมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น เช่น จากความรู้เป็นการกระทำ จากนวตกรรมไปสู่การเปลี่ยนแปลง

กระบวนการจัดการเรียนรู้ (Knowledge Process)
นักวิชาการทางด้านการจัดการความรู้แบ่งขั้นตอนกระบวนการจัดการความรู้แตกต่างกัน เช่น Turban et al (2004) แบ่งกระบวนการจัดการความรู้ไว้ 6 ขั้นตอน คือ
1) การสร้างความรู้
2) การกำหนดและรวบรวมความรู้
3) การนำไปสู่การปฏิบัติ
4) การจัดเก็บความรู้
5) การจัดการความรู้
6) การเผยแพร่

อย่างไรก็ตามกระบวนการสำคัญที่เรามักได้รับมักกล่าวถึง 3 ขั้นตอนหลัก  คือ
1. การสร้างความรู้  (Knowledge Creation ) หรือการแสวงหาความรู้ (Knowledg Acquisiton ) (Holsapple&Joshi 2001) เป็นกิจกรรมขององค์การที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสวงหาหรือสร้างความรู้ใหม่ขึ้น Brown & Dugaid (1998) กล่าวว่าความรู้จะเกิดขึ้นคนทำงานด้วยกันในกลุ่มซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างเหนียวแน่น โดยการสร้างความร่วมมือ และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างๆ Takeuchi&Nonaka(2004) ได้แบ่งรูปแบบการสร้างความรู้เป็น 4 ประเภท คือ
1) การสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Socialzation)  คือ  การสร้างความรู้แบบไม่ชัดแจ้งเป็นความรู้แบบไม่ชัดแจ้ง โดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การฝึกอบรม และการแนะนำ เช่น การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจัดทำประมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานต่างๆ
2) การปรับเปลี่ยนสู่ภายนอก (Externalization) คือ การพูดหรือบรรยายความรู้แบบไม่ชัดแจ้งเป็นความรู้แบบไม่ชัดแจ้ง โดยการใช้อุปมาอุปมัย การเปรียบเทียบ และการใช้ตัวแบบ เช่น การนำประสบการณ์จากการไปเห็นหน่วยงานต่างๆ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์ในที่ทำงานเป็นจำนวนมาก แต่การใช้ประโยชน์ยังน้อยมาก จึงมีการเปรียบเทียบว่ามีคอมพิวเตอร์เป็นเสมือนเฟอร์นิเจอร์ที่มาประดับห้องทำงานเท่านั้น การเปรียบเทียบดังกล่าวช่วยทำให้มองเห็นภาพได้ง่ายขึ้น
3) การปรับเปลี่ยนสู่ภายใน (Internalzation) คือ การสร้างความรู้แบบชัดแจ้งให้เป็นความรู้แบบไม่ชัดแจ้ง โดยการเรียนรู้จากการปฏิบัติ ศึกษาจากความรู้ที่ได้เขียนไว้ในคู่มือ เอกสาร เพื่อเพิ่มพูนทักษะให้สูงขึ้น เช่น การซื้อตำราโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อนำมาฝึกฝนจนเกิดความชำนาญขึ้น
4) การผสมผสาน (Combination) คือ การสร้างความรู้แบบชัดแจ้งให้เป็นความรู้แบบชัดแจ้ง โดยการรวบรวมหรือบูรณาการองค์ความรู้ หรือสังเคราะห์ ความรู้ที่มีอยู่เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาเช่น การนำองค์ความรู้ของวิชาคอมพิวเตอร์มาผสมผสานกับความรู้ด้านองค์การและการจัดการเกิดเป็นองค์ความรู้ในวิชาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

2. การประมวลความรู้
วัตถุประสงค์ของการประมวลความรู้ คือ การจัดความรู้ให้อยู่ในรูปแบบที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้และนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างสะดวก นักวิชาการบางท่านจะเรียกขั้นตอนนี้ว่าเป็นการให้รหัส (Codify) ความรู้  เพื่อนำไปเก็บและนำมาใช้ใหม่ได้ในภายหลัง หลักการในการประมวลความรู้ที่สำคัญมี 3 ประการ คือ (Davenport &Prusak ,1998)
1) กำหนดขอบเขตและเนื้อหาของความรู้ที่ต้องการประมวล
2) กำหนดแหล่งที่มาของความรู้ดังกล่าว รวมทั้งระบุกลไกและสื่อสำหรับรวบรวมความรู้ เวลาและความถี่ในการประมวลและปรับปรุงให้ทันสมัย
3) ระบุวิธีการและเครื่องมือในการเข้าถึงและดึงความรู้ที่ได้ประมวล ความรู้แบบไม่ชัดแจ้งมักได้รับการประมวลและเก็บไว้ในความจำของบุคคล ส่วนความรู้แบบชัดแจ้งมักได้รับการประมวลและเก็บไว้ในเอกสารหรือแฟ้มการจัดการความรู้ขององค์การส่วนใหญ่เน้นที่การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการรวบรวม เก็บ และดึงความรู้แบบชัดแจ้งขององค์การ

3. การใช้ความรู้  (Knowledge Utilization)
คุณค่าของความรู้อยู่ที่การนำไปใช้ (Fahey & Prusak,1998) โดยเฉพาะเมื่อมีการประยุกต์ความรู้เพื่อสร้างความสามารถและนำไปปฏิบัติให้เกิดผล ดังนั้น การสบับสนุนและการเพิ่มการใช้ความรู้จึงน่าจะเป็นส่วนที่ให้ความสำคัญขององค์การในการจัดการความรู้เมื่อมีการสร้างความรู้ และมีการประมวลความรู้แล้วความท้าทายอยู่ที่การประยุกต์ความรู้นั้นและการถ่ายโอนจากแหล่งที่สร้างความรู้ไปยังที่ที่ต้องการใช้ความรู้ดังกล่าว

ประเภทของความรู้มีผลต่ออัตราการถ่ายโอนความรู้เช่นเดียวกับกลไกในการถ่ายโอน โดยทั่วไปความรู้แบบไม่ชัดแจ้งมีอัตราการถ่ายโอนช้ากว่าความรู้แบบชัดแจ้งความรู้แบบไม่ชัดแจ้งจะถ่ายโอนได้ดีโดยการใช้รูปแบบของความร่วมมือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และปฏิสัมพันธ์ของบุคคลอย่างต่อเนื่องส่วนความรู้แบบชัดแจ้งจะถ่ายโอนได้อย่างมีประสิทธิผลหากได้ใช้ช่องทางการติดต่อหรือการใช้ปฏิสัมพันธ์ อย่างไรก็ตามการถ่ายโอนไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การดูดซับและใช้ความรู้ แต่การถ่ายโอนความรู้ที่มีประสิทธิผลจะเป็นขั้นตอนแรกที่จะนำไปสู่การใช้ความรู้

เป้าหมายของ KM
1) เพื่อพัฒนางาน ให้มีคุณภาพและผลสัมฤทธิ์ยิ่งขึ้น
2) เพื่อพัฒนาคน คือ ผู้ปฏิบัติงาน
3) เพื่อพัฒนา “ฐานความรู้” ขององค์กรหรือหน่วยงาน เป็นการเพิ่มพูนทุนความรู้หรือทุนปัญญาขององค์กร ซึ่งจะช่วยทำให้องค์กรมีศักยภาพในการฟันฝ่าความยากลำบากหรือความไม่แน่นอนในอนาคตได้ดีขึ้น

ประโยชน์ของ KM
1) ปรับปรุงประสิทธิภาพ และเพิ่มผลผลิต ให้กับทุกภาคส่วนขององค์กร
2) สร้างนวัตกรรมและการเรียนรู้รวมถึงการส่งเสริมให้แสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนความรู้ได้อย่างเต็มที่
3) เพิ่มคุณภาพและลดรอบเวลาในการให้บริการ
4) ลดค่าใช้จ่าย โดยกำจัดกระบวนการที่ไม่สร้างคุณค่าให้กับงาน
5) ให้ความสำคัญกับความรู้ของพนักงานและให้ค่าตอบแทนและรางวัลที่เหมาะสม

อ้างอิง
http://tak.dnp.go.th/Home_files/Division/dumri/km/km1.html

No comments:

Post a Comment